วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2551

มันมาอีกแล้ว !!!! ( 7.9 ริกเตอร์ )

นี่เป็นเรื่องเล่าย้อนอดีต...
เหตุเกิดเมื่อ 12 กันยายน 2550 ที่ผ่านมาแล้วล่ะค่ะ

ดังที่เคยเล่าให้ฟังหลายครั้งแล้วว่า ถ้าลงไปเกาะพีพีอีกส่วนใหญ่จะไปทำงานมากกว่าไปเที่ยว.. หนนี้ก็เช่นกันไปทำงานด้านเอกสารให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเกาะพีพี เนื่องจากเขาไม่มีพนักงาน แล้วสีน้ำฟ้าเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งสหกรณ์ฯ นี้มา รวมทั้งรับผิดชอบฝึกงานให้เด็ก จนเขาออกไป 2-3 รุ่นแล้ว ก็ยังหาพนักงานที่อยู่ติดหนึบ ทนนานกับสหกรณ์ฯ ไม่ได้

ซึ่งตรงนี้เราไม่ว่ากัน เพราะเกาะพีพีในปัจจุบัน แม้จะไม่ใช่พื้นที่เสี่ยงภัย แต่มหันตภัยที่เคยเกิด ก็ฝังอยู่ในหัวพ่อ-แม่ พี่น้องทุกคน จนเขาไม่อยากให้ลูกหลาน ลงไปรับจ้างทำงานที่นั่นกันมากนัก ยกเว้นคนที่อยู่เดิมๆ

อย่าว่าแต่เขาอื่นไหนไกลเลยค่ะ... สีน้ำฟ้าเอง ปัจจุบันก็มาทำงานในตัวเมือง ไม่ได้กลับไปอยู่ที่เกาะแล้ว ไม่มีกิจการใดๆ ที่เกาะ ทั้งที่เคยเป็นแหล่งรายได้หลัก ที่ทำให้กระเป๋าหนักมากก็ตาม ถามว่ากลัวไหม.. สึนามิ.. นาทีนี้ไม่รู้เหมือนกัน ตอบไม่ค่อยจะถูกแล้ว

เพราะเจ้าสึนามิหรือคะ.. ตอนนี้รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งของชีวิตที่ลืมไม่ลง แต่ก็อย่างที่ทราบกันค่ะว่าสีน้ำฟ้าไม่ได้โศกเศร้าอะไรมากมายแล้ว ชีวิตในปัจจุบันที่ผจญอยู่หนักหน่วงกว่าสึนามิอีกค่ะ.. จริงๆ นะคะ ถ้าใครเป็นแจมตอนนี้ จะบอกว่าให้ตายไปตั้งแต่สมัยสึนามิที่แล้ว เสียยังจะดีกว่า..

เปล่านะ..ไม่ได้ประชดชีวิต แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่อยากเล่าให้รันทดเอาเป็นภาษา “ประสาแจม” ดีกว่านะ.. จะเล่าให้ฟัง แล้วคุณๆ ท่านๆ เอาไปต่อกันเป็นจิ๊กซอว์นะคะ ว่าทำไมถึงมีคำพูดนี้จากสีน้ำฟ้า.. ทั้งที่เป็นคนที่กำลังใจดีมาตลอด..

วันนี้อ่านเรื่องเล่า 7.9 ริกเตอร์ไปก่อนดีกว่านะคะ.. จะได้ไม่เศร้ามาก..คนเขียนก็รู้สึกสบายๆ ไม่เครียดด้วย..

ค่ะ..ก็ลงไปเกาะพีพีเพราะไปช่วยเขาทำงาน..ไม่มีเงินเดือนนะคะ.. ค่าเดินทาง ค่าสิ่งของจิปาถะที่พาลงไป ค่าขนส่ง ค่าอะไรต่อมิอะไรก็ออกไปก่อน เบิกได้หรือเปล่าก็ต้องไปว่าที่เกาะพอมีงบเหลือไหม.. ถ้ามีก็เบิก ไม่มีก็ออกเงินเอง กรณีไม่มีเงินจริงๆ จะเอ่ยปากขอ ให้พี่ที่เป็นกรรมการสหกรณ์ฯ หรือเหรัญญิก เขาก็จะใจดีโอนมาให้ล่วงหน้าในช่วงที่เราไม่มีจริงๆ (น่าจะนับครั้งได้ แต่ไม่ใช่สีน้ำฟ้าคนเดียวที่เป็น พี่ๆ ในกลุ่มที่เราก่อตั้งสหกรณ์ฯ กันมาเป็นทุกคน..เพราะเรารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร และที่กล่าวถึงไม่ใช่ขอภาพพจน์ว่าเป็นคนดี..แต่ประเดี๋ยวมันจะมีกรณีต่อเนื่องเล่าต่อน่ะค่ะ เรื่องมีเงิน ไม่มีเงินเนี่ย) เอ๊ะ.. จะเสียหายอะไรไหมคะถ้าจะ
เปิดว่า ที่ไปหนนี้ในกระเป๋ามีเงินอยู่แค่ห้าร้อยกว่าบาท.. ค่าเรือสามร้อย เหลือเงินอยู่ในกระเป๋าสองร้อยบาทโดยประมาณ..^^

วันที่ 8 กันยายน 2550 ก่อนออกจากบ้านเช้านั้น..ลูกสาวคนโตของน้านพ.. ทำขวดโหลที่ใส่คอฟฟี่เมตตกแตก..และขอร้องว่าไม่ไปกันได้ไหม..ทั้งอาแจมและพ่อ(นพ) แต่ด้วยงานที่ตั้งใจไปทำก็ปลอบน้องเขาว่าไม่มีอะไร..

นั่งเรือจากท่าเรือคลองจิหลาด ชั่วโมงครึ่งก็ไปถึงก็ถ่ายรูปดะ.. ตั้งแต่ก่อนเรือเข้าจอด จนกระทั่งขึ้นเรือ คืนแรกนี้..ตั้งใจไปทำงานเต็มที่ เพราะว่าเป็นงานปิดบัญชีประจำปีของสหกรณ์ฯ เราต้องรีบทำให้เสร็จก่อน 11 กันยายน นี้ แต่ปรากฏว่าพี่ประธานสหกรณ์ และพี่รองประธานไม่อยู่ เลยไม่มีการนัดประชุมกัน..

ช่วงที่น้านพเปิดประตูสหกรณ์ฯ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องเก็บของกลายๆ ลากคอมพิวเตอร์มาเปิด ปรากฏว่า..คอมพิวเตอร์อยู่ใกล้ทะเล ลมทะเลหอบขี้เกลือมาจับแถวๆ แผงหลังเขรอะไปหมด.. ทำไป ทำมา แผ่นซีดีที่เป็นโปรแกรมบัญชีที่เรานำไปด้วย ติดแหง็กอยู่ในเครื่อง.. น้านพเขาเก่งค่ะ.. "ซ่อมได้" อยู่แล้ว ช่วงที่เขาซ่อมนี้สีน้ำฟ้าแอบๆ น้าออกไปธนาคารกรุงศรีฯ มันมีเงินที่สีน้ำฟ้าเคยเปิดบัญชีไว้ ตั้งประมาณเกือบสองปีได้มั๊ง ว่าจะฝากประจำ แต่พอย้ายไปอยู่ฝั่งก็เลยไม่ได้ฝากอีก.. มีเงินอยู่ในนั้นหนึ่งพันบาทค่ะ.. ไปปิดบัญชีก็อ๊าย..อายนะ คือแบบว่าเมื่อก่อนแม้มีเงินไม่มากนัก แต่ก็ยังพอมีฝากบ้าง.. นี่กลายเป็นฝากลืมไว้พันเดียวแล้วต้องมีปิดบัญชีเอาเงินไปไว้ใช้ในช่วงที่..เอ่อ มาเกาะหนนี้น่ะค่ะ..(แต่ก็ดีใจนะ ที่ยังมีก๊อกให้ไข อย่างน้อยหนึ่งพันก็ได้หลายวันล่ะ)

อ่านมาถึงตรงนี้ ใครอย่ารันทดนะคะ.. สีน้ำฟ้าน่ะยังดี ยังมีเงินให้ใช้ ยังมีทางหาเงินมาใช้ คนที่ไม่มีทางหาเงินเขารันทดกว่าค่ะ.. ^__^

กลับมาถึงน้าก็บอกว่าซีดีติดแหง็กอยู่ในเครื่องเอาออกไม่ได้แล้ว เฮ้อ...ซะงั้นแหละเนอะ.. อุปสรรคแต่เริ่มต้น แต่ก็ไม่เป็นไร.. ข้อมูลหาย คอมพ์พังเสียจนรู้แกวกันแล้ว หนนี้ก็อบไป 3 แผ่น อยากติด ก็ติดไป ไม่เอาออกมาก็ได้

คืนนั้นก็เลยปูที่นอนสำรองของโรงแรมเดอะเพียร์ นอนอยู่ให้ห้องสหกรณ์ฯ นั่นแหละ ได้ความอนุเคราะห์พัดลมจากน้องๆ ที่โรงแรมมาหนึ่งตัวก็อยู่ได้แล้ว ไม่เรื่องมาก.. ที่พักที่เขาจัดไว้ให้ข้างบนบ้าน ก็เกรงใจเจ้าบ้านไม่ได้ขึ้นไปนอน..

เราง่ายๆ อยู่แล้ว..

เบื่อหรือยังคะ.. เรื่องเล่า.. อยากให้คุณไปหากาแฟมาสักแก้ว..แล้วมานั่งเป็นเพื่อนคุยกันตรงนี้ก่อนค่ะ อย่าเพิ่งเบื่อเลย.. อารมณ์นี้กำลังอยากให้เห็นภาพ..

เคลียร์พื้นที่แบบว่าแหวก ๆ เอาหาที่พอให้หงายที่นอนลงพื้นได้ เอาเสื่อแบบที่เขานั่งชายหาด หรือนั่งปิกนิกมาปูแทนผ้าปูที่นอน มีพัดลมตัว ก็น่าจะอยู่ได้ แต่ลืมว่าไม่มีมุ้ง..

นอนที่ต่ำๆ ติดทะเลอย่างนั้นก็ออกจะผวานิดๆ อยู่แล้ว เพราะที่ ที่นอนอยู่นั่นห่างทะเลไม่ถึงยี่สิบเมตรได้มั๊ง แล้วอากาศก็ร้อนอบอ้าว น้องที่โรงแรมอนุเคราะห์ผ้าห่มแพรมาให้ผืนหนึ่ง.. ก็ได้ผ้าห่มแพรช่วยคลุมตัวไว้โผล่มาแต่หน้า ยิ่งดึกรู้สึกยุงมันยิ่งรุมแม้แต่หน้ามันก็ไม่เว้น..

พอยุงกัดก็คลุมโปง.. แต่พอคลุมโปงตลอดหัวตลอดเท้าก็ร้อนอีก.. โผล่หน้ามาก็ยุงกัด... เจ้าล่อเอาเถิดกันอย่างนั้น ไม่รู้หลับตอนไหน.. ตื่นมารู้สึกแสบหน้าไปหมด.. สงสัยเกาไปตอนหลับแล้วไม่รู้ตัว ล้างหน้าตอนอาบน้ำตอนเช้านี่ยิ่งรู้สึกเลย

และแล้วก็ผ่านไปหนึ่งคืน...

เช้าของวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2007 ฮิฮิ.. ยังไม่ถึง 2009... ไม่เอ๋อเป๋อขนาดนั้นหรอกน่าหลังจากเสร็จธุระส่วนตัว ก็ชวนน้าขึ้นไปดูพื้นที่สร้างบ้านถาวร ในระหว่างที่รอพี่ประธานสหกรณ์ และพี่รองประธานฯ เดินทางจากตัวเมือง ข้ามมาที่เกาะพีพี..

พอมีเวลาว่างกลับมาเข้าร้านเน็ตวันนั้นได้อัพบล็อกอีกรอบ.. โดยการนำภาพทะเลสวยๆ มาฝากหลายท่านที่ไม่ได้มองมุมนี้ซึ่งหลายคนอาจจะได้เห็นไปแล้ว หรือถ้ายังไงก็ลองคลิกไปดูภาพได้ที่บล็อกแก๊งค่ะ รับรองสวยจนหลายคนคิดว่า..เอ๊..พีพีไม่ได้สวยเท่านี้นะ.. หรือว่าไม่เคยเห็นมุมนี้มาก่อน.. อาจจะเป็นเพราะไม่ทันสังเกตกันมากกว่าค่ะ บางทีก็แค่มุมกล้องที่บังเอิญจับภาพได้ถูกจังหวะ ทำให้สีของน้ำทะเลที่ทอดทอมาจากท้องฟ้านั้นสวยงาม ทันให้สีน้ำฟ้าจับภาพมาฝากกันพอดี

อีกอย่าง.. เวลาเดินทางสีน้ำฟ้ามักจะมองในมุมที่ตัวเองชอบ..ก็คือหาแต่ความสวยงาม หามุมสงบให้ตัวเอง ถือตรงนั้นเป็นกำไรของชีวิตน่ะค่ะ เขาว่ากันว่า..นักเขียนมักมีมุมมองที่แปลกแตกต่างออกไป.. นี่สีน้ำฟ้ารู้จักพี่ๆ นักเขียนหลายคน และสนิทกับพี่ๆ หลายคนมากขึ้น จากเมื่อก่อนเคยอ่านแต่งานของเขาอย่างเดียว สงสัย..ลืมตัว...(ว่าตัวเองยังเป็นนักอยากเขียนอยู่เล้ย) แฮ่.... …


พอพี่ประธานฯ มาถึง..ก็มีคนเลี้ยงข้าว.. รอดตัว รอดตายไปอีกมื้อค่ะ.. หลังจากนั้นก็ได้ความอนุเคราะห์จากพี่ประธาน ซึ่งเขาเป็นเจ้าของบังกะโล ให้ย้ายไปพักที่ของเขา..โอ้..พระเจ้าช่วยสีน้ำฟ้าให้ตลอดนะคะ.. เป็นห้องขนาดกะทัดรัด มีห้องน้ำในตัว มีแอร์ให้ตัวหนึ่ง ก็ถือว่าพี่ประธานฯ ที่เคารพอำนวยความสะดวกให้สุดๆ

น้านพก็ไปจัดการต่อคอมพิวเตอร์มาให้ แต่ข้อเสียของคอมพิวเตอร์ที่เกาะพีพี ที่เห็นๆ นะคะ ตั้งอยู่นานฝุ่นจับ.. แต่เป็นฝุ่นชนิดที่ว่าเป็นคราบเกลือขาวๆ สากๆ เล่นเอาน้านพที่เคยใจเย็น อารมณ์ดี บ่จอยไปเลย สุดท้ายก็ได้คอมพ์ที่ร้านของพี่ประธานฯ อีกแหละ ไปยกมา เราหอบเครื่องพริ้นเตอร์จากฝั่งไปเอง ลงไดรว์เวอร์เสร็จสรรพ แจมก็ทำเอกสารของแจมไป.. ก็เป็นประเภทงานเอกสารที่ร่างให้ที่ประชุมนั่นแหละค่ะ พกพริ้นท์เตอร์ไม่หนักค่ะ แต่ถ้าไปจ้างพริ้นท์ใบละ 10 หรือ 20 บาทหนักกว่าเย๊อะ..

สองทุ่มก็เริ่มประชุมกัน.. คืนนี้นอนสบายหน่อย แล้วก็ลากยาวไปอีก 3 คืนเพื่อรอคณะกรรมการมาครบองค์ประชุม จนสรุปสุดท้ายกันได้จริงๆ กะจะกลับกันเรือบ่ายในวันที่ 12 กันยายน แต่พอดีเดินมาไม่ทันเพราะเข้าใจว่าเรือออกบ่ายสองครึ่ง จริงๆ เรือออกบ่ายสองโมงตรง

อีกอย่างหนึ่งแจมเดินช้าลงมาก เนื่องจากเดินขึ้นเขาไปสำรวจถนนและทางที่เขาทำบ้านถาวรกัน แล้วก็เดินไปมาระหว่างในเกาะพีพีด้วย ข้อดีหรือข้อเสียไม่ทราบค่ะ.. เกาะพีพีไม่อนุญาตให้รถวิ่ง อีกอย่างพวกมอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน เราก็ไม่มีใช้ด้วยแหละ ... ดังนั้นการจะไปไหนมาไหน เดินอย่างเดียว !!!

แล้วเราย้ายจากที่ทำการสหกรณ์ฯ เดิม ที่ไปนอนกันคืนแรก ไปอยู่บังกะโลของพี่ประธานฯ ซึ่งอยู่ท้ายๆ เกาะติดริมเขาห่างจากท่าเรือมาก สองแห่งที่อยู่ห่างกันเป็นกิโลนั่นแหละ ลืมของที..ได้เกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนมาหยิบเลยล่ะ..

จากการไปนอนแปลกที่ นอนไม่ค่อยหลับบ้าง..ทำงานบ้าง..หามรุ่ง หามค่ำติดต่อกันหลายวัน สุขภาพส่วนตัวของสีน้ำฟ้าเองแย่ลง (ซึ่งสีน้ำฟ้าผ่านการผ่าตัดที่ท้องมาแล้ว 3 รอบ ล่าสุดแม้จะผ่าก้อนเนื้อส่วนที่เกินออกไปแล้ว แต่ก็ยังมีเจ็บเสียดกันอีก ประกอบกับเป็นโรคเครียดลงกระเพาะ มักจะอาเจียนเสมอๆ เวลาเครียดและทำงานหนักๆ )

หลายวันติดกันแบบนี้ สะบักสะบอมค่ะ.. ร่างกายเหนื่อยล้าจนเริ่มประท้วง อากาศก็ร้อนๆ หนาวๆ อยู่ในห้องแอร์บ้าง ออกเดินไปพบปะผู้คนบ้าง ขึ้นเขาบ้าง..

พอน้าบอกว่า..ตัดสินใจอยู่ต่ออีกคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับเรือเช้า..ก็เหมือนเสียงสวรรค์ แต่ไม่กลับไปนอนที่บังกะโลข้างในแล้ว เนื่องจากกลัวตอนเช้าจะตื่นไม่ทันเรืออีก.. ยอมนอนให้ยุงกัดในสหกรณ์ฯ สักคืนก็จะเป็นไรไป..โชคดีอีกว่า..พี่รองประธานฯ ที่ให้พื้นที่ทำสำนักงานชั่วคราวของสหกรณ์ฯ เขาว่ามีห้องว่าง นอนที่โรงแรมดีกว่า.. ทีนี้ก็เลยบอกว่าเอางี้ละกัน พี่เอาโน๊ตบุ้คมาให้ยืม แจมจะพิมพ์เอกสารที่เก็บมาได้ทั้งหมดเข้าคอมพ์ไว้ กลับถึงบ้านจะได้ส่งงานให้ผู้ตรวจสอบเลยจะได้ไม่ยุ่งยาก..

ก็เริ่มทำงานตั้งแต่ยังไม่มืด.. จนกระทั่งหกโมงกว่าๆ นั่งทำงานเพลินๆ เสียงโทรศัพท์ที่เปิดสั่นไว้ก็ดังครืดๆ ไถไปมากับที่นอน

“ค่ะพี่..”

“แจมอยู่ไหน”

“อยู่บนห้องพักค่ะ” (โรงแรมเดอะเพียร์ ชั้นสอง)

“เออ..เพื่อนพี่แมสเซสมาบอก 7.9 ริกเตอร์ คืนนี้ไปนอนบนเขากันดีกว่า”




“ค่ะๆๆๆ” โยนโทรศัพท์ลงบนเตียง วิ่งมาดูบรรยากาศข้างนอกห้อง..นักท่องเที่ยวสองคนเห็นเราโผล่จากห้อง เขากำลังจะเข้าห้อง โบกมือทักทายเฮลโหลๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส.. แหะ แหะ ..เรายิ้มตอบแหยๆ วิ่งลงมาตามบันได พบพี่รองประธานฯ อยู่ข้างล่างนี่เอง

“ยังไงดีคะพี่”

“เอ่อ..ย้ายกันดีกว่า” ขณะนั้นภรรยาของพี่เขา ลูกจ้าง ต่างทยอยปิดร้านกันอย่างรีบเร่ง เขาเก็บของใส่เป้กันหมดแล้ว

“อือ เอาโน้ตบุ้คไหมพี่”

“ดีเหมือนกัน” เขาพยักหน้า แจมก็วิ่งผลุบเข้าไปในห้องอีกที กวาดเอกสารใส่กล่องพลาสติกใสๆ คัดเอาสำคัญๆ ได้สองกล่อง คว้ากระเป๋าสะพายมาดูขนาดแล้วสามารถใส่กล่องไปได้สองกล่อง ก็รีบจัดการ วางกระเป๋าสะพายไว้ หันมาพับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คพร้อมกวาดอุปกรณ์ลงกระเป๋าของมัน ไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มาใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ ก่อนวิ่งลงมาทางเดิม..

เอ..แล้วน้าไปไหนหวา ทุกที ๆ คุณพนาพรจะเป็นเช่นนี้ประจำ หน้าสิ่ว หน้าขวานนี่มักจะหาตัวไม่เจอ วิ่งลงมาส่งคอมพ์ให้พี่รองประธานฯ พอมือว่างก็โทรหาน้า ไม่มีสัญญาณตอบรับ..นี่ก็ทั้งชาติอีกเหมือนกัน สัญญาณโทรศัพท์ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ไม่เคยติดต่อกันได้ เวรกรรม ฟ้ายังไม่มืดนัก

หูก็ได้ยินพี่รองประธานฯ บัญชาการให้ลูกจ้างไปเรียกแขกที่พักในโรงแรมลงมาแล้วเดินทางไปพร้อมกัน ส่วนภรรยาเขาบอกว่าจะไปตามหาลูก และลูกน้องที่โรงแรมอีกแห่งหนึ่งใกล้ๆ พร้อมกับให้เตรียมน้ำและผลไม้ไปเป็นเสบียงสำหรับคืนนี้ สีน้ำฟ้าวิ่งตามไปเขากำลังส่งเสื้อชูชีพให้ลูกจ้าง เราอยู่ในโซนด้วยก็รับมา พึมพำขอบคุณ..

“.................” เสียงโทรศัพท์สั่น ในกระเป๋ากางเกง รีบรับโดยไม่ได้ดูหรอกว่าใคร

“แจมอยู่ไหน”

“อยู่เกาะพีพีค่ะพี่”

“หนีหรือเปล่า..เขาเตือนสึนามิ”

“ค่ะพี่ กำลังจะไป ตอนนี้อยู่ที่โรงแรมพีพีอินน์” เอ๊ะ..แล้วปลายสายรู้จักหรือเปล่า พีพีอินน์อยู่ตรงไหน

“ใครอ่ะ”

“พี่ติ๊ก.. พี่ทิกิ”

“เอ๋า...ขอโทษพี่..นึกว่าเพื่อนที่เกาะ ไม่ได้ทันได้ดู” (มั๊น..ยังจะห่วงว่าพูดไม่เพราะอีกค่ะท่านผู้โช๊ม)

“แล้วจะขึ้นเขาไหม”

“ขึ้นๆ พี่ เตรียมตัวอยู่ อยู่ที่นี่คงไม่มีโทรทัศน์ดู ยังไงแจ้งข่าวด้วยนะพี่”

“ได้ๆๆ ไปไวๆ เลย”

“ค่ะ รีบแล้วพี่..ไปเดี๋ยวนี้เลย”

เชื่อไหม.. วางหูจากพี่ทิกิแล้วก็ยืน งง...ไม่รู้จะไปทางไหน.. เพราะจำไม่ได้แล้วว่าเขาจัดให้หนีสึนามิกันทางไหน..ป้ายเป้ย..อย่าไปถามถึง นาทีนี้ถ้าเขาไม่ถอนทิ้ง มันก็ล้มระเนระนาดไปนานแล้ว เผลอๆ บางป้ายถูกใครแกล้งกลับทิศหรือเปล่า ใครมันจะไปมั่นใจได้ล่ะ

นาทีนี้ถึงแม้ว่ามันยังไม่เกิดแต่มันก็เสี่ยง เพราะ..7.9 – 8.0 ริกเตอร์ อาจจะลุกลามเป็น 8.4 – 8.5 เวลาใดก็ได้ คราวที่แล้วที่โดนไป 8.9 นี่เรามีเวลาชั่วโมงหนึ่ง ไม่ต้องถึงกับวิ่งแต่ควรรีบ..

พี่รองประธานฯ บอกให้ตามภรรยาพี่เขาไป พี่เขาจะพาเดินไปตามทางหนีสึนามิ ก็เดินจับกลุ่มกันไป นับกลุ่มเรารวมๆ กันก็ประมาณสิบคนเห็นจะได้ คนที่อยู่ระหว่างทางเขาก็มอง.. ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน ปากก็เรียก บอกว่า 7.9 แล้วนะ ไปอยู่บนเขากันดีกว่า บางคนก็ตาม บางคนก็เฉย บางคนนี่ล้อเลียนเลยก็ว่าได้..

ก็ว่ากันไป.. ความคิดใคร ความคิดมัน..แล้วแต่จะคิดกันเถิด..เดินไปเป็นกิโลแล้ว.. แต่ถ้าใครรู้จักเกาะพีพี คือมันเป็นเวิ้งตรงกลางเกาะเหมือนรูปตัวไอ คือเราเดินหนีทะเลหาดหน้าไปเจอทะเลหาดหลังว่างั้นเถอะ

จังหวะที่เดินข้ามสะพาน ช่วงนั้นฟ้ามืดสนิทแล้ว..มองไปทางขวาเป็นคลองส่งน้ำจืด ถัดจากคลองไปเป็นทางลาดไหล่เขา ส่วนทางซ้ายก็คือทะเล ตรงนี้เขาเรียกว่าปากคลอง.. สะพานนี้เป็นคอนกรีตกว้างประมาณสองเมตรครึ่ง ยาวประมาณสิบเมตร..เป็นรอยต่อระหว่างเกาะพีพีกับภูเขาที่อยู่ท้ายเกาะ เรียกว่าถ้าข้ามสะพานนี้ไป ขึ้นเขาอีกนิดหน่อยก็จะพ้นระดับน้ำสึนามิระดับหนึ่งแล้ว โดยไม่ได้ไปให้ถึงจุดสูงสุดของเกาะ (วัดจากประสบการณ์ครั้งก่อน)

เวรกรรม!!!!!!!!!!! เราเดินตามๆ กันเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นแล้ว ทีนี้เสียงผู้หญิงที่อยู่หลังสุดก็กรีดร้อง..

“กรี๊ด... มาแล้วๆๆ หนี ๆ ๆ”

...




บรรยากาศมาคุชัดๆ เสียงคนที่เดินเร่งฝีเท้ากลายเป็นวิ่ง ส่วนปลายสะพานซึ่งเป็นบาร์ ซึ่งยังเปิดทำการอยู่ มีคนขี่จักรยานออกมา พอเห็นกลุ่มคนลุกฮือ วิ่งกรูกันขนาดนั้นเขาก็หันหัวจะกลับทางเดิม แต่มันกลับลำไม่ได้แล้วสิ..คนวิ่งมาถึงแล้ว

แทนที่คนที่วิ่งกรูตามกันมาจะออกจะสะพานได้เร็วๆ กลับมาติดจักรยานคันนั้นซะนี่ เวรกรรมไหมนั่น.. สีน้ำฟ้ารีบเดินเบี่ยงตัวหลบจักรยานไปทางด้านหน้า ฉีกออกจากขบวนเดินขึ้นเขาตรงนั้นแหละ เป็นบันไดซีเมนต์ที่ต่อขึ้นไปหาบังกะโล ชื่อบังกะโลวิวพ้อยท์ ซึ่งสร้างอยู่ตรงไหล่เขาลูกนั้น

ขืนไม่หลบ หากล้มได้ตายกันแหง ๆ ถูกเหยียบ (โดยไม่ได้ตั้งใจ)

ขบวนภรรยาพี่รองประธานฯ กับลูกจ้างไปถึงไหนแล้วไม่ทราบ..แต่ข้าพเจ้าขอบายล่ะ.. มาอยู่แค่จุดนี้ก็พอแล้ว เพราะเขาบอกว่าให้เตรียมตัวเช้ย...เฉย ไม่ได้หมายความว่าสึนามิมาจริงๆ หันมองมาทางทะเลภาพดวงไฟที่สุดขอบฟ้า เป็นสีเรื่อๆ จางๆ เป็นเส้นตรงอยู่ช่วงระยะหนึ่ง ลมสงบ ไม่มีเสียงคลื่นซัดซ่า ขณะที่ว่าเราอยู่กันห่างทะเลไม่กี่เมตรเอง

ขยับขาเดินขึ้นตามขั้นบันไดซีเมนต์ไปเรื่อยๆ เดินขึ้นไปไม่กี่ก้าว เสียงโทรศัพท์ก็สั่นอีก..

“ค่ะย่า..” ดูแล้วว่าเบอร์บ้านจำได้ ไม่ยักกะขึ้นชื่อที่บันทึกไว้ ขึ้นโชว์เป็นตัวเลข 9 หลัก

“หวิ่งหม้าย...” ย่าพูดสำเนียงใต้ตลอดแหละค่ะ..ฟังจนชินแล้วล่ะ

“วิ่งค่ะ..แต่ตอนนี้หยุดวิ่งแล้ว พอดีเมื่อกี้ชุลมุนกันนิดหน่อย” เริ่มหายใจหนักๆ ถี่ๆ ก้าวขาขึ้นบันไดตามคนข้างหน้า ไม่รู้ใคร ไปให้สูงกว่านี้อีกหน่อยก็คงดี

“ทึ้งกะหน้องเคี้ยวล่ะ” น้องเขียว น้องสาวของน้านพไง..

“ไม่ทราบค่ะย่า.. หนูอยู่กันคนละทาง นี่น้าก็ไม่เจอ ติดต่อไม่ด้าย” (พิมพ์ไม่ผิด ออกสำเนียงใต้จริงๆ)

“แล้วทึ้งกะแจมอยู่หน้าย”

“อยู่ริมเขาแล้วค่ะ เดี๋ยวหนูวางหูจากย่า ย่าโทรหาน้องเขียวนะ หนูจะโทรหาน้า”

“....” หยุดหันมามองข้างหลัง มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเดินตามมา.. และเดินแซงหน้าขึ้นไป มองว่าสูงจนเป็นที่พอใจแล้วก็หยุดเดิน โทรศัพท์สั่นอีก..ฟ้ามืดสนิทแล้ว ทะเลและคลื่นลมสงบราบเรียบ บรรยากาศรอบข้าง มีแต่ผู้คนแต่ไม่ยักกะรู้จักใครสักคน ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ ไม่เคยเห็นหน้าใครสักคน แล้วพวกที่วิ่งตามๆ กันเมื่อกี้เขาไปไหนหมดก็ไม่รู้แล้ว รับโทรศัพท์ก่อนดีกว่า

“ค่ะพี่” (ใครไม่รู้ มันมีแต่เบอร์ ไม่มีชื่อคนโทรเข้า เรียกว่ามีเสียงโทรศัพท์ดังได้ก็บุญแล้ว..)

“แจมขึ้นฝั่งมารึยัง”

“ยังค่ะพี่…” หยั่งเชิงก่อน ไม่รู้หรอกว่าใคร

“พี่กุ้งนะ” พี่กุ้งคือผู้ตรวจสอบบัญชีจากกรมสหกรณ์ฯ

“อ๋อค่ะพี่..แจมตกเรือวันนี้ น้าว่าถ้าไปเรืออ่าวนางจะลำบากมาก เรามีเอกสารสำคัญ ถ้าขึ้นเรืออ่าวนาง จะต้องขนลงเรือหางยาว ลุยโคลนขึ้นฝั่ง แล้วต้องเหมารถจากอ่าวนางเข้าเมืองอีกรอบ ยุ่งยากมากค่ะ”

“แล้วนี่อยู่ไหน” มาถึงตอนนี้ “เรา” อันประกอบด้วยสีน้ำฟ้าและนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเริ่มหยุดเดินขึ้นที่สูงแล้ว บริเวณนี้เป็นบังกะโล เหมือนบ้านทางภาคเหนือหรือทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่แน่นอน เป็นบ้านแบบชั้นเดียวแต่ยกพื้นสูงราวๆ สองเมตร (มันสูงกว่าศีรษะสีน้ำฟ้าสองเท่าแน่ๆ) ใต้ถุนโล่งไม่มีอะไร มีบันไดพาดจากพื้นขึ้นไปนับสิบขั้น ฐานบันไดเป็นซีเมนต์ ตรงนี้น่าจะนับได้ว่าเป็นบังกะโล และคงสร้างมาใหม่หลังสึนามิ หรือมีนานแล้วแต่สีน้ำฟ้าไม่เคยเดินมาถึงตรงนี้เลย ไม่มั่นใจ บังกะโลแต่ละหลังห่างกันราวๆ สาม-ห้าเมตร (ประมาณเอา
รู้ไม่จริงหรอก) สร้างเป็นลักษณะขั้นบันได เรียงหน้ากระดาน เหมือนเขาทำนาขั้นบันไดประมาณนั้นแหละ.. แถวๆ หนึ่งคงสัก 6-7 หลังได้มั้ง หลดลั่นกันไป ใกล้ๆ ทะเลในส่วนที่ข้ามสะพานมานี้ไม่มีชายหาด มีแต่ภูเขาหินปูนแล้วก็น้ำทะเลไปเลย ไม่มีทางลงหาด..แต่ถ้าข้ามสะพานกลับไปตอนที่เราเดินหนีมาเมื่อกี้ จะเป็นเขตสุดของชายหาดที่เขาเรียกกันว่าหาดโละดาลัม หรืออ่าวหลัง จุดนี้เขาเรียกว่าปากคลอง.. ตาก็มองสังเกต ปากก็คุยไป



“วิ่งมาอยู่บนเขาแล้วค่ะ.. แหะ ๆ แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะ ถึงสึนามิมาแจมก็มีงานส่งพี่ แจมหอบใส่กระเป๋าสะพายมาแล้ว” น๊าน... ให้มันได้อย่างนั้นสิแม่นางแจม

“อือ..ไม่เป็นไร พี่นึกว่าแจมขึ้นฝั่งมาแล้ว ยังไงก็อย่าเพิ่งลงจากเขานะ เดี๋ยวยังไงแล้วพี่จะส่งข่าวอีก”

“ขอบคุณค่ะพี่” พอวางสาย.. อ้ายหนุ่มตาน้ำข้าวที่นั่งอยู่กับแฟน และชาวต่างชาติอีกกลุ่มหนึ่งที่ยืนเรียงหนึ่งนับสิบคน ไล่ระดับกันไปตามความสูงของภูเขาก็มองมาที่เราเป็นตาเดียว

อ้ายหนุ่มที่อยู่ใกล้ที่สุดก็...แล้วสายตาอีกนับสิบคู่ก็มองจ้องมา..เอาล่ะสิช้าน.. เหงื่อเริ่มแตกซิกๆ

“ว้อท..แฮปเพ้นด์?”
(ว่าไงๆ)

(เอ่อ....ภาษาอังกฤษต่อไปนี้ใช้เพื่อการสื่อสารกันยามหน้าสิ่ว หน้าขวาน หากมันพิมพ์มาแล้วไม่ถูกหลักไวยากรณ์ ขอความกรุณาอย่าค้อนกันนะคะ..พูดกันอย่างนี้จริงๆ)
“เอ่อ..ด้อนท์วอรี่..นาว โนพล็อบเบล็ม..โน..” อะไรแล้วอ่ะ..เสียงหวออ่ะ ศัพท์เรียกไรหว่า..

“โน...ว้อๆๆๆๆ” ทำมือเป็นรูปไซเรนหมุนไปมา (แอบฮาตัวเองในใจ อ๊าย อาย ก็คนมันลืมอ่ะ)

“โนไซเรน”

“นั่นแหละๆ เยส โนไซเรน จัส ออนลี่นิวส์ฟรอมทีวี เทลพีเพิลมูฟทูฮิลล์ นอทสึนามินาว ออนลี่นิวส์” อ้ายหนุ่มรูปหล่อก็พยักหน้าหงึกๆ หงักๆ ซักเอาความอีกหลายประโยค สีน้ำฟ้าก็ยืนยันให้ความมั่นใจ ว่ามันไม่มีอะไร อย่าตกใจ เขาหันไปพูดกับเพื่อนๆ เป็นภาษาอิสราเอล (รู้เพราะจำสำเนียงได้ จากประสบการณ์ที่เคยอยู่เกาะพีพีมาหลายปี)

หลังจากปลอบเพื่อนที่มาด้วยกันแล้ว หนุ่มน้อยก็หันมาคุยกับสีน้ำฟ้าอีก (มานจะคุยไรนักหนา...ช้านพูดไม่ค่อยจะเก่งวุ้ย)

“แล้วสึนามิครั้งที่แล้วเป็นไง คุณอยู่ไหน” เขาถาม สีน้ำฟ้าก็ตอบว่า

“อยู่ที่นี่แหละ ติดแหง็กอยู่กลางเกาะ จมน้ำ นี่ยังมีรอยแผลเป็นอยู่เลย” โชว์แขนซ้ายให้ดู (พูดเป็นภาษาอังกฤษ แต่อย่าให้เล่าเล้ย...อายค่ะพี่น้อง.. แล้วโชว์แขนให้เขาดูเขาคงมองไม่เห็นหรอกมืดจะตาย ทำท่าไปงั้นแหละ แสงไฟฟ้าจากบังกะโลข้างๆ มีมา แต่ไม่ยักกะมีใครโผล่หน้ามาถามไถ่พวกเรา

“แล้วเราอยู่ตรงนี้ปลอดภัยแน่หรือ” สีน้ำฟ้าพยักหน้า

“ถ้าวัดจากประสบการณ์ครั้งที่แล้วนะ ฉันว่าตรงนี้ก็ปลอดภัยแล้ว เราไม่ต้องขึ้นสูงไปจากนี้หรอก เมื่อกี้เพื่อนคนไทยที่เดินสวนลงเขาไป เขาว่าเขาจะไปดูสถานการณ์”

ช่วงนี้มีชายคนหนึ่งไม่สวมเสื้อเดินลงมาจากบ้านหรือบังกะโลสูงๆ คล้ายกันกับตรงที่เรายืนกันอยู่ตรงนี้ เขาเดินผ่านไป เราก็เรียก

“พี่คะ ๆ “ แหงะ..พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย สักพักมีเดินลงมาอีกคน พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย มองตามผู้ชายที่เดินลงไป จนกระทั่งกลับขึ้นมา ถามเขา..เขาก็ไม่พูด้วยอีก มันแปลว่าอะไรเนี่ย

สีน้ำฟ้าใจกล้า หน้ามึน เดินตามขึ้นไปที่บ้านของเขา เสียงโทรทัศน์เปิดอยู่ เราก็นอบน้อมถ่อมกายเข้าไป

“พี่หนูขอมาฝากของค่ะ” หาข้ออ้าง เขาพยักหน้า ไม่พูด..แต่อิช้านเริ่มสงสัย เขาปะแป้งเหมือนน้องเมียว..วดี จากละครเรื่องอะไรนะ..สายรักสาละวินหรือเปล่า.. มีผู้ชาย 2 คนผู้หญิง 1 คน เขาก็ชี้ว่าให้เราเอาของวางไว้ตรงไหน ก็เลยวางเสื้อชูชีพกับกระเป๋าไว้ เข้าไปดูข่าวกับเขานิดหนึ่ง เพราะเขาเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ ทีนี้ก็มีผู้ชายเดินขึ้นบ้านมาอีกคน คนนี้เขาพูดกับเราแล้ว (เย้!)

“ดะ ๆ เพ่.. มานั่งข้างนายก็ด่ะ” สีน้ำฟ้าพยักหน้ายิ้มกว้างขึ้น... อย่างน้อยเขาก็มีน้ำใจนะคะ เขาแบ่งข่าวให้ดู เราอยู่ดูพอเป็นพิธี ลงจากบ้านนั้นมา..

อีกแล้วค่ะ ท่าน.. กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นแหละ ตอนนี้กระจายกำลังไปยึดบ้านหลังที่ใกล้จุดที่เราอยู่มากที่สุด บ้านนั้นไม่เปิดไฟ ก็คิดเอาเองว่าไม่มีคนพัก.. หนุ่มๆ ขึ้นไปนั่งบนเปลญวน และเก้าอี้บนบ้าน สาวๆ นั่งไล่ตามระดับขั้นบันไดลงมา


อ้ายว้อทแฮปเป้น..มานเอาอีกแล้ว... ซักเราเสียละเอียดยิบ.. ก็ตอบไปว่า คุณไม่ต้องตกใจแล้วนะ สถานการณ์ดีขึ้น ดูเหมือนจุดที่แผ่นดินไหวย้ายไปอีกแห่งหนึ่ง ไม่ใช่จุดเดิมแล้ว หากว่าแผ่นดินไหวหนักแค่ไหน ตอนนี้ก็ไม่กระทบกับประเทศไทย แต่จะไปกระทบกับทางประเทศออสเตรเลีย แต่ยังไงก็ตาม เพื่อความปลอดภัย เรานั่งรอกันอยู่ตรงนี้ ประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็ลงจากเขานี่ไปได้แล้ว


ทุกคนสีหน้าแช่มชื่น บางคนก็ขอบคุณที่อย่างน้อย เราก็เอาข่าวมาบอกให้เขาสบายใจ ไม่หวาดหวั่น หวาดระแวง และมีเวลาที่รอชัดเจนมากขึ้น

ตอนนี้น้องเอม.. ทะเลใจ จากเว็บไทยโพเอ็มโทรเข้ามา.. และได้พูดคุยกัน เหมือนเช่นเคยค่ะ คุยจบอ้ายหนุ่มว้อทแฮปเป้น..ก็ถามๆๆๆๆ แล้วก็นำไปแปลเป็นภาษาอิสราเอลเป็นทอดๆ

สีหน้าทุกคนดีขึ้น หลายคนเลิกวิตกกังวล สีน้ำฟ้าเริ่มเดินออกจากที่เดิม ลงมาจุดที่ต่ำกว่าเก่า สวนทางกับนักท่องเที่ยว หรือคนไทยก็สอบถามสถานการณ์..

นึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์น่าจะใช้ได้แล้ว ก็โทรหาน้านพ.. คุณท่านไปติดอยู่อีกเขาหนึ่ง ใกล้ๆ ที่พักนั่นเอง เขาฉากหนีฝูงคนขึ้นเขาที่บังกะโลธาราอินน์ กลางเกาะ แต่สีน้ำฟ้านั้นเดินเลยจากจุดนั้นมาอยู่ท้ายเกาะ เรียกกันตามภาษาชาวบ้าน โดยนับอ่าวต้นไทร หรือทางโรงแรมคาบาน่าเป็นหาดหน้า

ดีใจที่ติดต่อน้าได้เสียที..ระหว่างรอน้าเดินมารับ ก็โทรหาย่า บอกข่าวเรื่องเจอน้าแล้ว และย่าก็แจ้งข่าวว่าน้องเขียว หรือน้องสาวของน้า ที่มาเปิดร้านค้าที่เกาะก็เดินขึ้นไปหลบบนภูเขาไปแล้วเช่นกัน ระหว่างนั้นก็คุย งูๆ ปลาๆ กับอ้ายหนุ่มน้อย ว้อทแฮปเป้นด์ ไปตามเรื่อง เขาก็ถามว่าทำไมมีแต่เรา.. เพราะมีภูเขาหลายจุดใช่ไหม ต่างก็หลบกระจายกันไปใช่ไหม.. ฟังน่ะ พอฟังออก แต่ตอบก็แค่ใช่ไม่ใช่
แล้วก็เล่าเรื่องหนีสึนามิครั้งก่อน เรื่องที่ติดแหง็กอยู่ที่ต้นมะพร้าวให้เขาฟัง อันไหนพูดไม่เป็นก็ทำท่าให้ดู เขาก็เอาไปแปลเป็นภาษาเขาให้เพื่อนฟัง

นาทีนั้น..เหมือนเราได้เพื่อนกลุ่มใหม่ เพื่อนในยามที่คับขัน และร่วมชะตาเดียวกัน พอเหตุการณ์คลี่คลายมากขึ้น โทรศัพท์เข้ามาครั้งหนึ่งก็รายงานข่าวไปครั้งหนึ่ง จนกระทั่งหนุ่มๆ เริ่มล้อ..

“แม่นางสีน้ำฟ้า พกชูชีพมาทำไม” ฮา..เริ่มอาย..ก็อายแหละ แต่คนมันตื่นเต้นนี่หว่า..นาทีนั้นใครจะไปรู้อะไรล่ะ ว่าจะไปจมน้ำกลางทางหรือเปล่า ก็ต้องป้องกันไว้ก่อนล่ะ ทางหนีสึนามิเท่าที่พอจะนึกได้ มันก็ทางโล่งๆ ทั้งนั้นหากมีอะไรขึ้นมา ฉันว่ายไม่เป็นนะ..

ก็เริ่มคุยกันมากขึ้น พอน้าตามมาสมทบ น้าเขาก็บรรยายภาษาอังกฤษให้ทางนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นเข้าใจ ไม่รู้หนุ่มๆ ในกลุ่มลงมาข้างล่างตอนไหน เขาซื้อน้ำ ซื้อขนมกรุบกรอบมาแบ่งกัน และแบ่งให้เราด้วย ก็รับๆ มา ทั้งที่ไม่ได้หิวอะไร.. แต่ยามนี้รู้สึกซึ้งๆ ที่ได้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน

ก่อนแยกจากกัน ทางเขาก็ขอบ-อก ขอบใจที่เราแปลข่าว และช่วยให้เขาอุ่นใจ รู้สถานการณ์ สีน้ำฟ้าเดินตามน้ามาโดยยืนยันว่าฉันจะเอาชูชีพมาด้วย กับกระเป๋าเอกสาร ซึ่งน้าให้ฝากไว้ที่บ้านนั้นก่อน สีน้ำฟ้าว่าถ้าไม่มีสองอย่างนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น

เมื่อน้าจำยอม ก็เดินลงมาข้างล่าง มาอยู่ที่บ้านป้าใจ.. หรือมาดามกาลิคที่นักท่องเที่ยวรู้จัก และบังเอิญมีน้องที่ดูแลบังกะโลตุลาชัยชวนไปพักด้วย เขาเปิดห้องพักให้ น้าเดินกลับไปเอาของที่โรงแรมเดอะเพียร์ให้ เลยได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อดข้าวเย็นวันนั้นไปโดยปริยาย

น่า..อดข้าวนะเจ้าไม่ชีวาวาย..คนอื่นเขาหนีตาย ใครจะมาทำอะไรให้กิน คืนนั้นร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมงยังปิดเล้ย..นับประสาอะไรกับร้านค้าธรรมดา

แต่...นี่นะ... ข่าวที่ได้ยินมา..

พวกที่ “ขน” เกินเหตุ...พวกน้ำหรือขนมที่เอาไปแบ่งๆ กันยามยากก็ยังพอว่า แต่พวกที่ (เขาว่านะเขาว่า)แบกเบียร์ขึ้นเขา(โดยที่เจ้าของร้านไม่อยู่) คนละสองสามแผงนี่สิ...ฟังแล้วเศร้า!!!!

ไม่มีความคิดเห็น: